เส้นทางผ่านคันนาดินลูกรังยาว 1กม. ที่น้องดาวต้องใช้เดินทางไปกลับโรงเรียนในทุกวัน
เนื่องจาก ไม่มีบ้าน และที่ดินทำกินของตนเอง ครอบครัวของน้องดาว จึงต้องมาอาศัยอยู่ในที่นาของญาติ เพื่อแลกกับการช่วยดูแลที่นา และช่วยทำนา เกี่ยวข้าว บ้านที่อยู่อาศัยเป็นเพิงไม้เก่ามุงด้วยสังกะสีและหญ้าคา ซึ่งเดิมเคยเป็นโรงเก็บอุปกรณ์การเกษตรมาก่อน ไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปา และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ทางเข้าออกเพียงทางเดียวคือผ่านคันนาดิน ที่ในเวลากลางคืนจะมืดจนแทบมองไม่เห็นทาง
น้องดาว กับแม่และพ่อในเพิงไม้เก่าที่ปลูกอยู่ในที่นาของญาติ ไม่มีน้ำประปาและไฟฟ้า
ทางเข้าออกเดียวของบ้านน้องดาวคือต้องผ่านคันนาดินแคบๆ
พ่อของน้องดาวเป็นคนพิการ มีแขนข้างเดียว อาชีพรับจ้างทั่วไป ด้วยความพิการจึงไม่สามารถทำงานได้เท่ากับคนปรกติ บ่อยครั้งที่นายจ้างจ่ายค่าแรงให้เพียงวันละ 200 บาท ส่วนแม่ของน้องดาวจะมีรายได้เพียงเล็กน้อยจากการช่วยญาติทำนา เกี่ยวข้าว และเฝ้านา ดังนั้นรายได้หลักของครอบครัวจึงมาจากพ่อ ซึ่งหลายครั้งที่ไม่พอใช้จ่าย ก็ต้องอาศัยหยิบยืมจากญาติพี่น้อง
แม้จะพิการมีแขนข้างเดียวแต่พ่อของน้องดาวก็ถือเป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว
นอกจากจะรับผิดชอบเรื่องการเรียนของตัวเองแล้ว น้องดาวยังมีหน้าที่ช่วยเหลือแม่ทำงานบ้านทุกอย่าง รวมไปถึงการให้อาหารเป็ด ไก่ รดน้ำผักที่ปลูกไว้เพื่อนำมาทำอาหาร ส่วนที่เหลือก็นำไปขายให้กับชาวบ้าน นอกจากนี้ในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ยังออกไปช่วยพ่อรับจ้างทำนา และช่วยยกเครื่องมือที่มีน้ำหนักมากๆแทนพ่อ เนื่องจากพ่อมีแขนเพียงข้างเดียว สำหรับเด็กผู้หญิงอายุ 14 ปี อาจจะดูว่าเป็นงานที่หนักเกินกำลัง แต่เธอก็ไม่เคยบ่น เพราะเธออยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อกับแม่ให้ได้มากที่สุด
ทุกเย็นหลังเลิกเรียนและวันหยุดเสาร์อาทิตย์น้องดาวจะช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน รดน้ำแปลงผัก
และให้อาหารเป็ดไก่
คุณครูกรุณา ชุมจันทร์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเด็กนักเรียนทุนมูลนิธิ EDF ประจำโรงเรียนบ้านโนนดู่ เล่าให้เราฟังว่า
“ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านของน้องดาวจะยากจน แต่เธอก็ไม่เคยเก็บมาเป็นปมด้อย แต่กลับเป็นแรงผลักดันให้มุมานะตั้งใจเรียนหนังสือมากขึ้น และมีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก (เกรดเฉลี่ย 3.83) นอกจากนี้เธอยังเป็นที่รักของเพื่อนๆ และช่วยเหลืองานคุณครูเป็นประจำ ส่วนพ่อ และแม่ ก็ดูแลเอาใจใส่ และสนับสนุนอยากให้ได้เรียนหนังสือสูงๆ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่ แต่ติดขัดเรื่องฐานะทางบ้านที่ยากจน ส่วนวิชาที่น้องดาวทำได้ดีคือภาษาอังกฤษ เพราะชอบเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ และมีความฝันอยากเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในอนาคต”
คุณครูกรุณา ชุมจันทร์ ผู้ดูแลเด็กนักเรียนทุนมูลนิธิ EDF ประจำโรงเรียนบ้านโนนดู่
ขณะเดินทางไปเยี่ยมบ้านของน้องดาวตอนสมัครขอรับทุนการศึกษา
เมื่อเราถามน้องดาวถึงของขวัญที่เธออยากจะได้ในวันปีใหม่ เธอตอบกับเราด้วยแววตาที่มีความหวังว่า “หากหนูมีจักรยานซักคันที่สามารถปั่นไปโรงเรียน ปั่นไปช่วยพ่อทำนา ปั่นเอาผักที่ปลูกไปขายได้ก็คงจะดีค่ะ”
ในเทศกาลแห่งความสุขและการแบ่งปันที่กำลังจะมาถึงนี้ การมอบจักรยานสักคันหนึ่งให้แก่เด็กนักเรียนที่ขาดแคลน นอกจากท่านจะได้แบ่งปันรอยยิ้ม และความสุขให้กับน้องๆที่ได้รับแล้ว ท่านยังช่วยให้เด็กคนหนึ่งได้เดินทางไปโรงเรียน และทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกและปลอดภัย และยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กๆได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีอีกด้วย
หากเป็นไปได้ในปีใหม่นี้น้องดาวอยากได้จักรยานเพื่อปั่นไปโรงเรียน และปั่นไปช่วยพ่อทำนา
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2561 ท่านที่เป็นผู้บริจาคมูลนิธิ EDF อยู่แล้วสามารถเลือกบริจาคชุดของขวัญ ผ่านโครงการของขวัญแห่งการเรียนรู้ของมูลนิธิEDF เพื่อมอบให้เด็กนักเรียนทุนที่ท่านอุปการะ หรือแนะนำให้คนที่ท่านรู้จักเพื่อร่วมส่งต่อความสุข และรอยยิ้มให้แก่น้องๆที่ขาดแคลนคนอื่นๆได้เช่นกัน ซึ่งสำหรับเด็กด้อยโอกาสหลายๆคนแล้ว ของขวัญที่ท่านมอบให้นั้นอาจเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตของพวกเขา และยังถือเป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญ ให้พวกเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจ ในการศึกษาเล่าเรียน เพื่ออนาคตที่ดีต่อไปในภายภาคหน้า
|