ตั้งแต่พ่อของน้องต่ายตาบอดเมื่อ 4-5ปีก่อน แม่ของเธอก็เป็นเพียงผู้เดียวที่ทำงานหาเลี้ยงทุกคนในครอบครัวด้วยการรับจ้าง และขายลูกชิ้นปิ้ง โดยน้องต่ายจะช่วยแม่ทำงานหลังเลิกเรียนและวันหยุดทุกครั้ง แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แม่ของน้องต่ายได้หนีออกไปจากบ้านไปและไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย ทิ้งภาระหนี้สินที่ไปหยิบยืมมาเพื่อค้าขายและจุนเจือครอบครัว รวมถึงพ่อที่ตาบอด พี่ชายที่พิการ และน้องๆ อีก 3คนให้เธอดูแลเพียงลำพัง
น้องต่ายบอกกับเราว่า “ตอนที่แม่หายออกไปจากบ้าน พวกเราไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร จนหนูเพิ่งรู้จากญาติของแม่ว่าแม่หนีไปมีครอบครัวใหม่ที่จังหวัดสระแก้วแล้ว หนูกับน้องๆ เสียใจมาก น้องร้องไห้คิดถึงแม่อยู่ตลอด อย่างน้อยแม่มีปัญหาอะไรน่าจะบอกหนูบ้าง หนูอยากให้แม่กลับมา กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม”
น้องต่ายกับพ่อ พี่ชายที่พิการ และน้องชายน้องสาวทั้ง 3 คน
ปัจจุบันน้องต่ายกลายเป็นผู้นำครอบครัวที่หาเลี้ยงทุกชีวิตในครอบครัว โดยรับจ้างขายผลไม้ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ได้วันละ 300บาท โดยทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณ 2-3ทุ่ม บางวันก็จะไปรับจ้างเก็บปูปลาจากอวนที่ชาวประมงลากขึ้นมาจากทะเลได้อวนละ 5-10บาท แต่รายได้ก็ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายของทั้ง 6ชีวิตในครอบครัว ทำให้เต้ยที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.1ต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคัน เพื่อมาดูแลพ่อและพี่ชายที่พิการ ส่วนน้องอีกสองคนก็ไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนเนื่องจากไม่มีเงินไปโรงเรียน ส่วนน้องต่ายที่ต้องไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมในอำเภอที่ห่างจากบ้านประมาณ 30กิโลเมตร ก็ค้างค่ารถรับส่งมากว่า 4เดือนแล้ว ซึ่งช่วงปิดเทอมนี้น้องต่ายจะต้องทำงานทุกวันเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารถ และใช้หนี้สินของครอบครัว
พ่อของน้องต่ายเล่าให้เราฟังว่า “ผมแต่งงานกับภรรยาคนนี้มากว่า 20ปี มาถึงตอนนี้ผมไม่เสียใจแล้วเพราะเขาคงไปมีชีวิตที่ดีกว่าแล้ว จะสงสารก็แต่ลูกๆ อยากให้พวกเขามีอนาคตที่ดีกันทุกคน แต่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ช่วยเหลืออะไรลูกๆ ไม่ได้เลย อายุก็มากเจ็บออดๆ แอดๆ ตาก็มองไม่เห็นไม่มีใครเขาจ้างทำงาน บางทีก็คิดจะฆ่าตัวตายให้พ้นๆ จะได้ไม่เป็นภาระลูกๆ แต่ก็มาได้คิดว่าถ้าเราไม่อยู่แล้วลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร คนโตก็พิการ ต่ายก็เป็นผู้หญิง ที่เหลือก็ยังเด็กๆ กันอยู่”
คุณครูศุภวดี ครูประจำชั้นของน้องต่ายบอกว่า “น้องต่ายเป็นเด็กเรียนดีได้เกรดเฉลี่ย 3กว่าทุกเทอม เป็นที่รักของเพื่อนๆ จนได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าห้องทุกปี ตอนที่แม่เขาหายออกไปจากบ้านเขาก็ไม่ได้บอกครู จนเรามาสังเกตเห็นว่าเขาดูไม่ร่าเริงเหมือนเก่า และก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกลางวันกิน ทุกวันนี้ครูในโรงเรียนก็จะหาข้าวกลางวันให้เขา บางวันเพื่อนๆ เขาก็จะแบ่งข้าวกลางวันให้ทาน อะไรที่พอจะช่วยเขาได้ครูทุกคนก็พยายามช่วยเขาเต็มที่ อยากให้เขาเรียนจนจบ”
น้องต่ายเล่าถึงความฝันของเธอว่า “หนูมีความฝันอยากเป็นครู เพราะครูเป็นผู้ให้แสงสว่าง หนูอยากเป็นผู้ให้แสงสว่างแก่เด็กๆ นักเรียน อยากช่วยเหลือพวกเขา สอนให้เขารู้ในสิ่งที่ไม่รู้ อยากช่วยเหลือเด็กๆ ที่ด้อยโอกาสเหมือนกันกับหนูค่ะ”
ในปัจจุบัน เหลือเพียงน้องต่ายเพียงคนเดียวที่ยังคงเรียนหนังสืออยู่ เนื่องจากน้องเต้ยน้องชายคนโตต้องลาออกมาดูแลพ่อกับพี่ชาย ส่วนโต้งกับนํ้าตาล น้องชายและน้องสาวคนเล็ก โรงเรียนให้ซํ้าชั้นเนื่องจากเวลาเรียนไม่พอ และสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นก็คือ น้องต่ายอาจ กลายเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ได้กลับไปเรียนอีกในวันเปิดเทอมที่จะมาถึงในเดือนมิถุนายนนี้
ติดต่อสอบถามเพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายรณรงค์ทุนการศึกษา EDF
โทร. 0-2579-9209-11
e-mail : [email protected]
|