น้องนัทในวัย 12 ปี ชั้น ป.6 รร.บ้านหมากหญ้า จ.อุดรธานี ขณะช่วยคุณแม่
รับจ้างสานหวดนึ่งข้าวเหนียวหลังเลิกเรียน (ภาพก่อนได้รับทุนการศึกษาชั้น ม.1)
น้องนัทในวัย 16 ปี ชั้น ม.4 รร.บ้านหนองวัวซอ จ.อุดรธานี
กับคุณครูจันทร์แดง สิทธิบูรณ์ ครูผู้ดูแลทุนการศึกษา มูลนิธิ EDF
บ้านไม้สภาพเก่าในจ.อุดรธานี ที่น้องนัท อาศัยอยู่กับพ่อ แม่ ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา
แต่โชคชะตากลับมาพลิกผันอีกครั้ง หลังจากสำเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ในเดือนมีนาคม 2564 แม้เขาจะมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อให้เรียนต่อในสาขาที่เขาอยากเรียน (เทคโนโลยีการเกษตร) แต่เนื่องจากติดปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ที่ทุนการศึกษาไม่ครอบคลุม ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ครอบครัวตกอยู่ในภาวะยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ทำให้น้องนัทในวัย 18 ปี ตัดสินใจที่จะหยุดพักความฝันในการเรียนต่อของตนเองไว้ชั่วคราว และเลือกที่จะทำงานหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว โดยสมัครเข้าทำงานที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ
แม้รายได้อาจจะไม่มากเท่ากับวุฒิปริญญาตรี แต่เขาก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนในการแบ่งเบาภาระของครอบครัวในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ และมองว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ค้นหาความถนัดและความชอบของตนเองจากชีวิตการทำงาน แต่ก็ยังคงไม่ละทิ้งความฝันในการเรียนต่อ เพราะอย่างน้อยวุฒิ ม.6 ที่เขาได้มาจากการสนับสนุนของผู้มีอุปการะคุณ ถือเป็นใบเบิกทางสำคัญที่จะทำให้เขาสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ทันทีเมื่อโอกาสเอื้ออำนวย และมีความพร้อมมากพอ ซึ่งอาจจะเป็นระดับมหาวิทยาลัย หรือหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นที่สามารถเรียนนอกเวลางาน และนำไปต่อยอดการประกอบอาชีพในอนาคตได้
แม้จะได้รับทุนการศึกษา แต่น้องนัทยังคงรับจ้างทำงานพิเศษเพื่อช่วยครอบครัว
และเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนอีกทางหนึ่ง และยังคงรักษาผลการเรียนอยู่ในระดับดี
อย่างต่อเนื่องจนเรียนจบชั้น ม.6 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.41
น้องนัทเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาให้เราฟังว่า "งานที่ทำในปัจจุบันถือว่าเป็นงานประจำงานแรกในชีวิตของผมหลังจากเรียนจบชั้นม. 6 ครับ ตอนสมัยที่เรียนม.ปลาย มีทำงานรับจ้างบ้าง แต่พอขึ้นชั้น ม.5 ก็ไม่ค่อยได้ทำงานพิเศษมากนักเพราะต้องโฟกัสเรื่องเรียน เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังมีไปทำงานตัดอ้อยกับพ่อแม่หารายได้พิเศษมาช่วยครอบครัว และเก็บไว้ใช้ส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่นำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจกรรมของโรงเรียน และการเรียน"
น้องนัทยังพูดถึงความฝัน และแผนในการศึกษาต่อในอนาคตให้เราฟังอีกว่า "สมัยเรียนอยู่ชั้น ม.4 ผมใฝ่ฝันอยากเรียนต่อทางด้านบัญชีซึ่งเป็นความชอบส่วนตัว แต่ก็มาเปลี่ยนความคิดในตอนหลังมาทางสายเทคโนโลยี เพราะมีโอกาส และทางเลือกในการทำงานค่อนข้างมากในปัจจุบัน แต่พอช่วงปีสุดท้ายก่อนเรียนจบเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ครอบครัวค่อนข้างลำบากมากเพราะไม่มีงานรับจ้างเหมือนแต่ก่อน ผมเลยคิดว่าหากเป็นแบบนี้คงต้องพักเรื่องเรียน เพื่อทำงานเก็บเงิน และส่งให้พ่อแม่ไปก่อน และอีกอย่างจะได้ดูว่าจริงๆ แล้ว เรามีความชอบ หรือถนัดด้านไหน อาจจะหาคอร์สเรียนนอกหลักสูตรระยะสั้นหลังเลิกงาน หรือในวันหยุด ที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดในอนาคตได้ คือเรียนจบแล้วไม่ตกงาน ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงมองว่าเป็นโอกาส และช่วงเวลาที่เราได้ค้นหาตนเอง และช่วยเหลือครอบครัวไปด้วยครับ ในช่วงปีแรกๆ คงทำงาน และหาอะไรเรียน คิดหาสิ่งใหม่ๆทำไปเรื่อยๆ และในระยะยาวถ้ามีความพร้อมมากพอ ผมอยากกลับอุดรฯไปทำธุรกิจของตัวเอง กลับไปพัฒนาที่บ้านเกิด หากมีโอกาสได้เรียนต่อสายเทคโนโลยีการเกษตร จะได้นำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชนบ้านเรา เอาเทคโนโลยีเข้าไปช่วยแก้ไข เอาชนะอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆในการทำเกษตรกรรมที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก "
ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต ม.ปลาย เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้นัทต้องตัดสินใจหยุดพักความฝันในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาลงชั่วคราว
เพื่อออกมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวที่กำลังลำบาก
น้องนัทยังได้กล่าวถึงทุนการศึกษาที่เขาได้รับด้วยว่า "ผมได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ EDF รวมทั้งหมด 6 ปีต่อเนื่อง ตั้งแต่เรียนชั้น ม.1 - ม.6 ในช่วง ม.ต้น ก็มีได้รับทุนการศึกษาจากทางโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย แต่ผมก็ไม่ทิ้งการทำงานหารายได้พิเศษเพื่อเก็บออมไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนและใช้จ่ายส่วนตัวด้วย เช่น ไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยกับพ่อแม่ สานหวดนึ่งข้าวหรืองานรับจ้างต่างๆ ที่เราสามารถทำได้ ซึ่งผมต้องขอขอบคุณผู้บริจาคทุน มูลนิธิ EDF เป็นอย่างสูง ทุนการศึกษาที่ท่านมอบให้ ช่วยลดความวิตกกังวลด้านค่าใช้จ่ายในการเรียน และแบ่งเบาภาระของครอบครัวผมได้มากครับ นอกจากนี้ในช่วงหลังเรียนจบชั้น ม.6 ผมยังมีเงินทุนการศึกษาเหลือในบัญชีอยู่ประมาณ 3-4,000 บาท ซึ่งผมได้ใช้เป็นค่าเดินทาง และเป็นทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่การทำงานครั้งแรกที่จังหวัดสมุทรปราการอีกด้วยครับ "
น้องนัทยังได้แบ่งปันประสบการณ์การเริ่มต้นทำงานในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยว่า "สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลกระทบต่อการทำงานของผมเช่นกันครับ เพราะในบางพื้นที่ที่เราต้องเดินทางไปทำงติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ลูกค้า ไม่สามารถเดินทางไปได้ ช่วงแรกๆ ที่การแพร่ระบาดยังไม่รุนแรงก็ยังไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ แต่ช่วงหลังๆ ที่สถานการณ์หนักขึ้น ทำให้บางวันทำงานไม่ได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ออเดอร์งานเฟอร์นิเจอร์ที่บริษัทไม่ได้ลดลง แต่ติดปัญหาตรงที่เราไม่สามารถเดินทางไปติดตั้งงานให้ลูกค้าได้มากกว่า ทำให้วันนั้นๆ ไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งผมก็หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววันนี้ครับ"
น้องนัทในปัจจุบัน หลังจากได้ตัดสินใจเดินทางมาทำงานที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์
แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งเขามองว่าเป็นโอกาสในการค้นหาตัวเอง
ว่าชอบและถนัดทางด้านไหน และยังคงไม่ทิ้งความฝันในการเรียนต่อ
หากโอกาสและสถานการณ์เอื้ออำนวย
ตั้งแต่เด็กจนโต น้องนัทยึดมั่นในคติประจำใจของตนเองมาตลอดว่า คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ แม้ว่าต้นทุนชีวิตคนเราอาจไม่เท่ากัน แต่ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกเองว่าเราอยากให้คุณภาพชีวิตเราเป็นแบบไหน ก็มุ่งมั่นและตั้งใจไปให้ถึงเป้าหมาย แม้ในวันนี้เขาอาจจะมีข้อจำกัดในการเลือกทางเดินชีวิต จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่เขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความฝันของตนเอง เพียงแต่หนทางที่จะเดินไปสู่ความฝันอาจจะต้องเดินอ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่งที่ไกลกว่าเดิม แต่ตราบใดที่ยังไม่ลดละความพยายาม สักวันหนึ่งเขาอาจก้าวไปได้ไกลกว่าความฝันที่ตั้งใจไว้ก็เป็นได้ ซึ่งทีมงาน มูลนิธิ EDF ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับน้องนัท และทุกๆ คนที่กำลังเผชิญ และต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค และความยากลำบากในการดำเนินชีวิตในช่วงเวลานี้ด้วยนะครับ
|