ปัจจุบันน้องฝนอาศัยอยู่กับย่า และน้องชาย อายุ 10 ปี เรียนอยู่ชั้นป.4 พ่อและแม่ของน้องฝนหย่าร้างกันตั้งแต่น้องฝนยังเด็กๆ และต่างแยกย้ายไปแต่งงานและมีครอบครัวใหม่ และทิ้งให้น้องฝนและน้องชายอยู่กับย่าที่ปัจจุบันอายุ 70 ปี ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง
น้องฝนเล่าให้เราฟังว่า “หนูไม่รู้ว่าทำไม พ่อแม่ถึงต้องเลิกกัน รู้เพียงแต่ว่าท่านทั้งสองตอนนี้มีครอบครัวใหม่ และมีลูกใหม่แล้ว ตอนแรกหนูและน้องเสียใจมาก หนูร้องไห้กับน้องอยู่บ่อยๆว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่รับเราไปอยู่ด้วย แต่ย่าก็จะคอยปลอบอยู่เสมอว่าถึงหนูกับน้องจะไม่มีพ่อแม่แต่ย่าก็จะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับพวกหนู หนูรักย่ามากที่สุดค่ะ”
สิ่งที่น้องฝนเสียใจมากที่สุดก็คือหลังจากแต่งงานใหม่ แม่ของน้องฝนไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย ส่วนพ่อของน้องฝนนานๆทีจะกลับมาที่บ้านและให้เงินย่าไว้ใช้บ้างเล็กน้อย
ปัจจุบันย่าของน้องฝนอายุ 70 ปี และป่วยเป็นโรคความดัน ต้องกินยาอยู่ตลอดและทำงานหนักไม่ได้ ปัจจุบันครอบครัวนี้จึงไม่มีรายได้ ซึ่งในทุกๆวันหยุด น้องฝนและน้องจะออกไปหางานรับจ้าง เก็บพริก ขุดมัน หรืองานอื่นๆแล้วแต่เขาจะจ้าง ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และเก็บผัก จับปลาในลำคลองหมู่บ้านมาประกอบอาหาร
“น้องฝน” หรือเด็กหญิงปรีดาพร วงษ์ศิริ เด็กนักเรียนทุน EDF ชั้นม.2 โรงเรียนนิคมสร้างตนเองลำตะคอง 4 จังหวัดนครราชสีมา
หลังจากได้รับทุนการศึกษา น้องฝนเล่าให้เราฟังว่า “หนูขอบพระคุณผู้ใจดีมากที่ให้โอกาสหนูเรียนต่อ หากวันนั้นหนูไม่ได้รับทุนตอนนี้หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตหนูจะเป็นอย่างไรบ้าง เงินทุนที่ได้รับนอกจากจะใช้เป็นค่าอาหารกลางวันและอุปกรณ์การเรียนของหนูแล้ว หนูยังแบ่งบางส่วนเป็นค่าขนมให้น้องด้วยค่ะ หนูไม่รู้จะตอนแทนพระคุณท่านอย่างไรดี หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน และช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด และไม่เป็นภาระของสังคมค่ะ”
เมื่อเราว่า ความรักของน้องฝนคืออะไร เธอตอบว่า “ความรักของหนูคือน้องกับย่า และถ้าเป็นไปได้หนูอยากให้พ่อกับแม่กลับมารักและอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม และกลับมาอยู่กับหนูและน้องตลอดไป”
น้องฝนมีความตั้งใจจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเพื่อจะได้ดูและย่าและน้อง โดยหลังจากเรียนจบม.3 แล้วน้องฝนตั้งใจจะเรียนต่อ ก.ศ.น. (การศึกษานอกโรงเรียน) เพื่อจะได้เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยได้ จะได้เก็บเงินเพื่อเรียนต่อปริญญาตรี และส่งเสียน้องให้ได้เรียนต่อให้สูงที่สุด
|