รูปถ่ายน้องชมพู่ ตั้งแต่เริ่มได้รีบทุนการศึกษามูลนิธิ EDF
ปี พ.ศ.2557 จนถึง ปี พ.ศ.2559
พอวันหยุดก็ไปไร่ไปนากับตายายตามประสาชาวนาชาวสวนค่ะ พอเริ่มโตขึ้นมานิดนึง ก็มีคนมาถามว่า พ่อคือใคร พ่อไปไหน พ่อชื่ออะไร ซึ่งดิฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย รู้แค่ว่าแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ดิฉันก็ไม่เคยตอบกลับคนที่มาถามเลย
ต่อมาดิฉันจึงเริ่มถาม ตาและยาย ว่าพ่อไปไหน ตากับยายก็ไม่บอกกลัวเรามีปม จนอายุ 14 ปี ดิฉันจึงเห็นในใบสูติบัตรตรงชื่อบิดาบอกว่า ไม่ปรากฏ ดิฉันจึงได้ตัดสินใจถามแม่ แม่จึงบอกว่า พ่อทิ้งแม่ไปตั้งแต่ดิฉันยังอยู่ในท้อง แต่พ่อไม่รู้ว่าแม่ท้อง พอดิฉันรู้ความจริงก็รู้สึกน้อยใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิต เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกๆ ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
น้องชมพู่ ขณะช่วยแม่จับปลาในทุ่งนา เพื่อนำมาประกอบอาหาร
และนำบางส่วนไปขายหารายได้มาจุนเจือครอบครัว
ดิฉันอาศัยอยู่ในบ้านไม้หลังเก่าที่ตากับยายสร้างมาเองกับมือตั้งแต่ท่านทั้งสองแต่งงานกันใหม่ๆ ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นดิฉันเคยได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ EDF ดิฉันได้เรียนต่อเพราะทุนนี้ค่ะ และตากับยายก็ทำงานหนักเพื่อส่งเสียดิฉันให้เรียนจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีแม่ที่คอยส่งเงินมาให้บ้าง แต่บางวันที่ไม่มีเงินจริงๆ ตากับยายก็ต้องไปขอหยิบยืมจากเพื่อนบ้าน
ดิฉันได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด แม่ตกงานและกลับมาอยู่บ้าน ทำอาชีพรับจ้างทั่วไป ได้ค่าแรงเพียงวันละ 300 บาท ด้วยภาระต่างๆ อีกมากมาย แม่ยังต้องส่งเสียดูแลน้องชายของดิฉันอีก 1 คน ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 ส่วนตากับยายก็อายุมากแล้ว ปัจจุบันยายอายุ 60 ปี ส่วนตา อายุ 67 ปี ท่านทั้งสองเริ่มหมดกำลังที่จะส่งเสียให้ดิฉันเรียน เพราะทำงานไม่ได้เหมือนแต่ก่อน หนูจึงตัดสินใจกู้เงินยืมเรียนในโครงการ ก.ย.ศ. เพื่อค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา นอกจากนี้ยังทำงานพิเศษ ในวันเสาร์-อาทิตย์ และช่วงปิดเทอม เช่นรับจ้างพิมพ์งาน เขียนรายงานต่างๆ เป็นต้น
ปัจจุบันดิฉันเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะศึกษาศาสตร์และนวัตกรรมการศึกษา สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ค่ะ
น้องชมพู่ ขณะฝึกงานเป็นครูผู้ช่วย ซึ่งน้องมุ่งมั่นอยากเป็นครูอย่างที่ตั้งใจไว้
ดิฉันมีแผนไว้ว่าหากเรียนจบปริญญาตรี และได้เป็นครูอย่างที่ตั้งใจไว้แล้ว ดิฉันจะทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาโทเพื่อที่จะสอบผู้อำนวยการให้ได้ค่ะ
หากย้อนกลับไปในช่วย ม.ต้น ก่อนได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ EDF ครอบครัวต้องไปหยิบยืมเงินจากคนอื่นเพื่อมาส่งเสียให้ดิฉันได้ไปโรงเรียน แต่หลังได้รับทุน ดิฉันได้มีโอกาสศึกษาและเรียนรู้อย่างเต็มที่ เพราะมีทุนการศึกษาจาก EDF เป็นทุนหลักในการศึกษาเล่าเรียนค่ะ ซึ่งดิฉันได้นำเงินทุนที่ได้รับไปใช้ในการศึกษาเช่น อุปกรณ์การเรียนต่างๆ ค่าบำรุงการศึกษา ค่าเดินทางไปโรงเรียน ค่าทำรายงานต่างๆ เป็นต้นค่ะ
หากดิฉันได้มีโอกาสเจอกับผู้บริจาคทุนมูลนิธิ EDF ที่เคยหยิบยื่นโอกาสที่มีค่าให้แก่ดิฉันในวันนั้น ดิฉันอยากบอกท่านว่า ขอบคุณนะคะที่ท่านมอบทุนให้เด็กที่ด้อยโอกาสคนหนึ่ง ที่ไม่มีทุนหลักในการเรียน ทำให้ดิฉันได้มีโอกาสเรียนหนังสือ เหมือนได้ชีวิตใหม่ ประสบผลสำเร็จในสิ่งที่ใฝ่ฝันเอาไว้ แม้อาจมีหลายคนที่มีโอกาสแต่ไม่ไขว่คว้าเอาไว้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสและไม่มีต้นทุนชีวิตอะไรเลย ดิฉันขอขอบคุณท่านอีกครั้งนะคะที่มองเห็นความสำคัญของเด็กอยากจน ขอให้โครงการทุนการศึกษานี้คงอยู่ตลอดไปเพื่อการศึกษาของเด็กๆ ที่ขาดแคลนในรุ่นต่อๆ ไปค่ะ
น้องชมพู่มีแผนว่าหากเรียนจบปริญญาตรีแล้ว จะส่งตัวเองเรียนจนจบปริญญาโท
เพื่อที่จะสอบผู้อำนวยการให้ได้
ทุนการศึกษาเป็นประโยขน์ต่อเด็กที่ยากจนเป็นอย่างมากค่ะ เพราะบางคนไม่มีพ่อ บางคนไม่มีแม่ ต้องอาศัยอยู่กับตาและยาย บางคนไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน ไม่มีเงินที่จะเรียนต่อ แต่เมื่อพวกเขาได้มีโอกาสพบเจอมูลนิธิ EDF อาจเปลี่ยนชีวิตของเด็กยากไร้อีกจำนวนมาก จากเด็กยากจนเมื่อได้มีโอกาสได้เรียน ในอนาคตพวกเขาอาจได้เป็น คุณครู คุณหมอ และอาชีพอื่นๆอีกมากมาย ที่จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาประเทศของเราต่อไปค่ะ
สุดท้ายนี้ดิฉันอยากบอกกับน้องๆ นักเรียนทุนรุ่นหลังๆ ว่า ในตอนที่เราไม่มีอะไร สิ่งที่ฉุดดึงเราขึ้นมาคือมูลนิธิ EDF แต่เมื่อเราได้ดี มั่งมีแล้ว ก็อย่าลืมมูลนิธิ EDF ที่ทำให้เราได้มีอนาคต และวันดีๆ ในวันนี้ “เมื่อถึงที่หมาย ต้องไม่ลืมที่มา” ขอบคุณค่ะ
|