![](/images/captures/article/2021-09-30_Panat/Panat-1.jpg)
น้องนัทในวัย 12 ปี ชั้น ป.6 รร.บ้านหมากหญ้า จ.อุดรธานี ขณะช่วยคุณแม่
รับจ้างสานหวดนึ่งข้าวเหนียวหลังเลิกเรียน (ภาพก่อนได้รับทุนการศึกษาชั้น ม.1)
![](/images/captures/article/2021-09-30_Panat/Panat-2.jpg)
น้องนัทในวัย 16 ปี ชั้น ม.4 รร.บ้านหนองวัวซอ จ.อุดรธานี
กับคุณครูจันทร์แดง สิทธิบูรณ์ ครูผู้ดูแลทุนการศึกษา มูลนิธิ EDF
![](/images/captures/article/2021-09-30_Panat/Panat-3.jpg)
บ้านไม้สภาพเก่าในจ.อุดรธานี ที่น้องนัท อาศัยอยู่กับพ่อ แม่ ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา
แต่โชคชะตากลับมาพลิกผันอีกครั้ง หลังจากสำเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ในเดือนมีนาคม 2564 แม้เขาจะมีโอกาสได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อให้เรียนต่อในสาขาที่เขาอยากเรียน (เทคโนโลยีการเกษตร) แต่เนื่องจากติดปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ที่ทุนการศึกษาไม่ครอบคลุม ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ครอบครัวตกอยู่ในภาวะยากลำบากในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ทำให้น้องนัทในวัย 18 ปี ตัดสินใจที่จะหยุดพักความฝันในการเรียนต่อของตนเองไว้ชั่วคราว และเลือกที่จะทำงานหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว โดยสมัครเข้าทำงานที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายในแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ
แม้รายได้อาจจะไม่มากเท่ากับวุฒิปริญญาตรี แต่เขาก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนในการแบ่งเบาภาระของครอบครัวในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ และมองว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ค้นหาความถนัดและความชอบของตนเองจากชีวิตการทำงาน แต่ก็ยังคงไม่ละทิ้งความฝันในการเรียนต่อ เพราะอย่างน้อยวุฒิ ม.6 ที่เขาได้มาจากการสนับสนุนของผู้มีอุปการะคุณ ถือเป็นใบเบิกทางสำคัญที่จะทำให้เขาสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้ทันทีเมื่อโอกาสเอื้ออำนวย และมีความพร้อมมากพอ ซึ่งอาจจะเป็นระดับมหาวิทยาลัย หรือหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นที่สามารถเรียนนอกเวลางาน และนำไปต่อยอดการประกอบอาชีพในอนาคตได้
![](/images/captures/article/2021-09-30_Panat/Panat-4.jpg)
แม้จะได้รับทุนการศึกษา แต่น้องนัทยังคงรับจ้างทำงานพิเศษเพื่อช่วยครอบครัว
และเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนอีกทางหนึ่ง และยังคงรักษาผลการเรียนอยู่ในระดับดี
อย่างต่อเนื่องจนเรียนจบชั้น ม.6 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.41
น้องนัทเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาให้เราฟังว่า "งานที่ทำในปัจจุบันถือว่าเป็นงานประจำงานแรกในชีวิตของผมหลังจากเรียนจบชั้นม. 6 ครับ ตอนสมัยที่เรียนม.ปลาย มีทำงานรับจ้างบ้าง แต่พอขึ้นชั้น ม.5 ก็ไม่ค่อยได้ทำงานพิเศษมากนักเพราะต้องโฟกัสเรื่องเรียน เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็ยังมีไปทำงานตัดอ้อยกับพ่อแม่หารายได้พิเศษมาช่วยครอบครัว และเก็บไว้ใช้ส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่นำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจกรรมของโรงเรียน และการเรียน"
น้องนัทยังพูดถึงความฝัน และแผนในการศึกษาต่อในอนาคตให้เราฟังอีกว่า "สมัยเรียนอยู่ชั้น ม.4 ผมใฝ่ฝันอยากเรียนต่อทางด้านบัญชีซึ่งเป็นความชอบส่วนตัว แต่ก็มาเปลี่ยนความคิดในตอนหลังมาทางสายเทคโนโลยี เพราะมีโอกาส และทางเลือกในการทำงานค่อนข้างมากในปัจจุบัน แต่พอช่วงปีสุดท้ายก่อนเรียนจบเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ครอบครัวค่อนข้างลำบากมากเพราะไม่มีงานรับจ้างเหมือนแต่ก่อน ผมเลยคิดว่าหากเป็นแบบนี้คงต้องพักเรื่องเรียน เพื่อทำงานเก็บเงิน และส่งให้พ่อแม่ไปก่อน และอีกอย่างจะได้ดูว่าจริงๆ แล้ว เรามีความชอบ หรือถนัดด้านไหน อาจจะหาคอร์สเรียนนอกหลักสูตรระยะสั้นหลังเลิกงาน หรือในวันหยุด ที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดในอนาคตได้ คือเรียนจบแล้วไม่ตกงาน ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงมองว่าเป็นโอกาส และช่วงเวลาที่เราได้ค้นหาตนเอง และช่วยเหลือครอบครัวไปด้วยครับ ในช่วงปีแรกๆ คงทำงาน และหาอะไรเรียน คิดหาสิ่งใหม่ๆทำไปเรื่อยๆ และในระยะยาวถ้ามีความพร้อมมากพอ ผมอยากกลับอุดรฯไปทำธุรกิจของตัวเอง กลับไปพัฒนาที่บ้านเกิด หากมีโอกาสได้เรียนต่อสายเทคโนโลยีการเกษตร จะได้นำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชนบ้านเรา เอาเทคโนโลยีเข้าไปช่วยแก้ไข เอาชนะอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆในการทำเกษตรกรรมที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็ก "
![](/images/captures/article/2021-09-30_Panat/Panat-5.jpg)
ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต ม.ปลาย เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้นัทต้องตัดสินใจหยุดพักความฝันในการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาลงชั่วคราว
เพื่อออกมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวที่กำลังลำบาก
น้องนัทยังได้กล่าวถึงทุนการศึกษาที่เขาได้รับด้วยว่า "ผมได้รับทุนการศึกษาจากมูลนิธิ EDF รวมทั้งหมด 6 ปีต่อเนื่อง ตั้งแต่เรียนชั้น ม.1 - ม.6 ในช่วง ม.ต้น ก็มีได้รับทุนการศึกษาจากทางโรงเรียนอีกทางหนึ่งด้วย แต่ผมก็ไม่ทิ้งการทำงานหารายได้พิเศษเพื่อเก็บออมไว้ใช้ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเรียนและใช้จ่ายส่วนตัวด้วย เช่น ไปทำงานรับจ้างตัดอ้อยกับพ่อแม่ สานหวดนึ่งข้าวหรืองานรับจ้างต่างๆ ที่เราสามารถทำได้ ซึ่งผมต้องขอขอบคุณผู้บริจาคทุน มูลนิธิ EDF เป็นอย่างสูง ทุนการศึกษาที่ท่านมอบให้ ช่วยลดความวิตกกังวลด้านค่าใช้จ่ายในการเรียน และแบ่งเบาภาระของครอบครัวผมได้มากครับ นอกจากนี้ในช่วงหลังเรียนจบชั้น ม.6 ผมยังมีเงินทุนการศึกษาเหลือในบัญชีอยู่ประมาณ 3-4,000 บาท ซึ่งผมได้ใช้เป็นค่าเดินทาง และเป็นทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่การทำงานครั้งแรกที่จังหวัดสมุทรปราการอีกด้วยครับ "
น้องนัทยังได้แบ่งปันประสบการณ์การเริ่มต้นทำงานในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยว่า "สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลกระทบต่อการทำงานของผมเช่นกันครับ เพราะในบางพื้นที่ที่เราต้องเดินทางไปทำงติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ให้ลูกค้า ไม่สามารถเดินทางไปได้ ช่วงแรกๆ ที่การแพร่ระบาดยังไม่รุนแรงก็ยังไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ แต่ช่วงหลังๆ ที่สถานการณ์หนักขึ้น ทำให้บางวันทำงานไม่ได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ออเดอร์งานเฟอร์นิเจอร์ที่บริษัทไม่ได้ลดลง แต่ติดปัญหาตรงที่เราไม่สามารถเดินทางไปติดตั้งงานให้ลูกค้าได้มากกว่า ทำให้วันนั้นๆ ไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งผมก็หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววันนี้ครับ"
![](/images/captures/article/2021-09-30_Panat/Panat-6.jpg)
น้องนัทในปัจจุบัน หลังจากได้ตัดสินใจเดินทางมาทำงานที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์
แห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งเขามองว่าเป็นโอกาสในการค้นหาตัวเอง
ว่าชอบและถนัดทางด้านไหน และยังคงไม่ทิ้งความฝันในการเรียนต่อ
หากโอกาสและสถานการณ์เอื้ออำนวย
ตั้งแต่เด็กจนโต น้องนัทยึดมั่นในคติประจำใจของตนเองมาตลอดว่า คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ แม้ว่าต้นทุนชีวิตคนเราอาจไม่เท่ากัน แต่ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกเองว่าเราอยากให้คุณภาพชีวิตเราเป็นแบบไหน ก็มุ่งมั่นและตั้งใจไปให้ถึงเป้าหมาย แม้ในวันนี้เขาอาจจะมีข้อจำกัดในการเลือกทางเดินชีวิต จากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่เขาก็ยังคงไม่ละทิ้งความฝันของตนเอง เพียงแต่หนทางที่จะเดินไปสู่ความฝันอาจจะต้องเดินอ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่งที่ไกลกว่าเดิม แต่ตราบใดที่ยังไม่ลดละความพยายาม สักวันหนึ่งเขาอาจก้าวไปได้ไกลกว่าความฝันที่ตั้งใจไว้ก็เป็นได้ ซึ่งทีมงาน มูลนิธิ EDF ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับน้องนัท และทุกๆ คนที่กำลังเผชิญ และต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค และความยากลำบากในการดำเนินชีวิตในช่วงเวลานี้ด้วยนะครับ
|